Archive for July, 2005

ผู้หญิงเข้าใจยาก

 
 
 

อยากหายตัว

หลายๆครั้งที่เราทำตัวไม่ถูกกับสถานการณ์ที่เราเผชิญ บางครั้งเราก็ตกอยู่ในสภาวะน้ำท่วมปาก และอยากหนีไปจากสถานการณ์หลายๆอย่าง ผมเคยๆ วันนี้ผมจะเอามาเล่าให้ฟัง ขำกันน้ำตาเล็ด…
 
เรื่องที่จะเอามาเล่า มันเกิดขึ้นตอนเรียนมหาวิทยาลัยตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอมตอนปี 3 ขึ้นปี 4 ถ้าจำไม่ผิด …ช่วงใกล้เปิดเทอมนี่เป็นช่วงที่พี่ๆมีความสุขมากๆ เพราะเรามีน้องๆสดๆมาให้แกล้ง มาให้ใช้ มาให้ทารุณกรรม และที่สำคัญ …มาให้มอง หึๆๆ วันนั้นผมและเพื่อนๆหลายคน (นับสิบ) ก็เดินมาดูน้องๆหลีดเต้นให้น้องๆเฟรชชี่ดูที่หน้าตึก 1 นอกจากพวกผมแล้วก็มีพวกน้องๆพี่ๆอีกเยอะแยะ เราไม่ได้รู้จักทั้งหมดหรอก เพราะบางทีมันก็มีเด็กคณะอื่นๆมาเนียนดูด้วยเต็มไปหมด มองไปก็คนหน้าตาดีอยู่หลายๆคน ซึ่งเราก็ถือโอกาสดูๆไปด้วยเป็นของแถม น้องหลีดในปีนั้นมีน้องคนหนึ่งเป็นน้องสาวของดาราคนหนึ่ง ซึ่งผมไม่อยากเอ่ยนาม ขอใช้นามสมมติว่า หนิง ปณิตา ก็แล้วกัน น้องคนนี้ก็ชื่อว่าน้องนิว (นามสมมติ) อยู่ ก2 (กรุ๊ปสมมติ) ระหว่างการเต้นหลีดไปนั้น มันก็ต้องมีการขยตงขยับตัวไปด้วยใช่มั้ยครับ และการเต้นหลีดไปในชุดนิสิตซึ่งตัวไม่ใหญ่นักมันก็พาลพาพวกเราคิดจินตนาการไปได้ไกลหลายเรื่อง ด้วยความคึกคะนองในวัยเยาว์ของพวกเรา เราก็เลยเริ่มพูดจากันเสียงดัง เพราะอารมณ์ของพี่ปี 4 ที่เรากำลังจะได้รับมันเริ่มมาครอบงำ เราก็แซวกันเรื่อยๆ และแรงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความคะนองไปด้วย ผมก็เลยพูดเล่นไปด้วยเรื่อยเปื่อย…
 
"เฮ้ย ดู Milk (ใช้แทนคำว่านมนะครับ คำว่านมมันทำให้ผมดูเป็นคนลามกเกินไป) น้องนิวดิ แม่งงง…ใหญ่โคตร"
 
เพื่อนๆก็ขำกันตรึม ฮากันใหญ่ พร้อมสนับสนุน พลางออกความเห็นกันใหญ่ และ เริ่มชี้ชมไปตามเรื่อง
 
แต่บรรากาศมันเริ่มแปลกๆเพราะแม่สาวคนสวยที่ยืนอยู่ใกล้ๆเริ่มมองพวกเราด้วยสายตารังเกียจจจจจ
 
ก็น่าอยู่ผมคิด เพราะพวกเราเล่นไปแซวน้องผู้หญิงกันแบบนั้น ผู้หญิงด้วยกันฟัง เขาคงไม่ค่อยรู้สึกดีนัก
 
แต่ด้วยความคะนองปากของขบวนการเรา …มันเลยไม่หยุดอยู่แค่นั้น เราก็เล่นกันไปเรื่อย
 
จนกระทั่งน้องนิว (ย้ำ นามสมมติเท่านั้น) เลิกเต้นและเดินึ้นมาบนตึกพร้อมๆกับกลุ่มน้องๆหลีด เราก็ยิ้มๆกัน จนเหตุการณ์ไม่คาดฝันบังเกิดดดดดด
 
น้องนิวเดินเข้าไปหาแม่สาวหน้าปูดคนนั้นแล้วก็พูดว่า พี่แนน (นามสมมติ) เมื่อกี้นิวเต้นเป็นไงมั่ง นิวว่าเต้นผิดเยอะเลยน่ะ…
 
เหอๆๆ พวกเราเริ่มหน้าถอดสี จริงๆแล้วผมต่างหากที่เริมหน้าถอดสีมากกกกก พี่น้องคุยกันไปพักหนึ่ง สักพักน้องนิวก็หันมามองพวกผมแบบรังเกียจๆ
 
พวกเราจึงรีบแยกย้ายกันไปโดยพลัน…
 
นึกถึงทีไรก็อดขำไม่ได้ถึงเรื่องนี้ซึ่งมักจะถูกขุดขึ้นมาหยอกกันเป็นประจำเวลากรึ่มๆ
 
เฮ้ออออ… จะมีใครหาทางเมาอ่านได้มั้ยเนี่ย

Crying out for love in the center of the world

Crying out for love in the center of the world
[Sekai no Chushin de, Ai wo Sakebu ]

++++ "อยากกู่ร้อง บอกรักให้ก้องโลก"++++

 


เริ่มเรื่อง….

ความฝันของชายคนหนึ่ง…
นานมาแล้ว……เขาเคยร่วมแบ่งปันความฝันใครคนนึง….


ปัจจุบัน…..

….การหายตัวไปอย่างไร้สาเหตุของคู่หมั้นของเขา…ริทซึโกะ สร้างความสงสัยให้กับ ซาคุทาโร่ ดังนั้นเขาจึงเดินทางไปยังเมืองชิโกกุเพื่อตามหาเธอ

แต่สถานที่ที่เขาตามหาเธอนั้น….
……..คือ ที่นั่น…….

รักแรก
……จุดเริ่มต้นรักครั้งแรกของเขากับ…" อากิ "…..รักแรกที่เขาไม่เคยลืมเลือน…แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน แต่ทุกครั้งที่หลับตาลง…เธอยังชัดเจนในความทรงจำของเขา…

ความทรงจำเกี่ยวกับอากิ
ในช่วงปี 1986 ….
อากิได้เข้ามาในชีวิตของเขา เธอเป็นคนเก่งเรียนดี เล่นกีฬาเก่ง พร้อมสมบูรณ์แบบ….กับผู้ชายธรรมดาๆคนนึงอย่างซาคุ

…ท่ามกลางผู้คนมากมาย….ซาคุคือคนที่เธอเลือก…

เขาทั้งสองตกหลุมรักกันและกัน
…ผ่านเรื่องราวต่างๆ…ความทรงจำมากมาย…..

อากิมีรายการวิทยุที่ชอบ เธอมักจะเขียนโปสการ์ดไปบ่อยๆ ถ้าได้ออกอากาศก็จะได้รับรางวัล
…ซาคุอยากให้ เครื่องเล่นวอล์คแมน เป็นของขวัญแก่อากิ จึงแต่งเรื่องโกหกส่งไปยังรายการ และได้ออกอากาศจริงๆ….จนทำให้เกิดเรื่องราวผิดใจกัน

เทป casset แห่งความทรงจำ
อากิอัดเสียงตัวเองใส่ลงไปในเทป…เธอใช้วิธีนี้เพื่อ "บอก" สิ่งที่เธอไม่อาจพูดกับซาคุตรงๆได้… จนกลายเป็นการเทปสื่อ(รัก)ระหว่างกัน….

เขาและเธอไปเที่ยวทะเลด้วยกัน…และไปเจอภาพของสถานที่นึงที่สวยงามมาก ที่นั้นคือ อูลูลู….ประทเศออสเตรเลีย สถานที่ทีเชื่อว่าเป็น " ใจกลางของโลก"

อากิและซาคุ …ได้สัญญาร่วมกันว่าจะไปที่นั่นด้วยกันในสักวันหนึ่ง….

จนเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
เมื่อพบว่าอากิเป็นโรคร้าย……

ซาคุ(ปัจจุบัน) ได้กลับมายังบ้านเกิด…และพบว่าความทรงจำของอากิ กับตัวเขาเองนั้น…ไม่เคยเลือนหายไปจากใจของเขา ไม่ว่าจะมองไปที่ใด…เขายังเห็นอากิอยู่ทุกหนแห่ง เสียงในเทปของอากิ ที่เขาได้เปิดฟังอีกครั้ง….น้ำตามากมายที่เอ่อล้นออกมา…เขาไม่สามารถลืมอากิได้….แต่เดิมที่ซาคุอาจไม่ได้นึกถึงอากิอีกแล้ว แต่ในทุกๆคืนเค้ายังฝันถึงเธอ ฝันที่ไม่อาจะเป็นจริงได้ ความเจ็บปวดที่ถูกปิดตาย ถูกเผยออกมาในที่สุด….

พยานรัก และร่องรอยของการมีชีวิตอยู่

อีกสถานที่นึง…ที่ซาคุกับอากิมักจะไปด้วยกันบ่อยๆ คือ ร้านถ่ายรูป
…คุณตาที่ร้านถ่ายรูป….ที่พวกเขามักจะมาหาเสมอๆ….คุณตาที่ยังคงจมอยู่กับความรัก…

…..ผู้ชายที่รักผู้หญิงคนนึงนานครึ่งศตวรรษ…อากิมองว่ามันเป้นเรื่องอัศจรรย์ ความรักมันช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน

ครั้งสุดท้ายที่เขาและอากิไปที่นั่น ….อากิอยากถ่ายรูปเอาไว้….เธออยากอยู่ในความทรงจำของซาคุตลอดไป


และเป็นฉากที่น้ำตาไหลเพราะเศร้า(ไปกับรักที่ไม่อาจสมหวัง)และอิ่มเอม(ในความรักของซาคุที่มีต่ออากิ) ไปด้วยทั้งสองอย่างค่ะ สีหน้าของซาคุและอากิ บ่งบอกได้ดีว่าเขาและเธอรู้สึกเช่นไร

ในช่วงสุดท้ายของชีวิตอากิ เธอไม่สามารถส่งเทปให้ซาคุได้ด้วยตัวเอง จึงฝากเทปให้เด็กผู้หญิงเล็กๆคนนึงนำไปให้ซาคุแทน

สุดท้าย…อากิก็ได้จากไป………

เทปสุดท้ายของอากิ

….คำบอกรัก…คำสั่งเสียของเธอ… ที่เธอใส่ลงไปในเทป…

ในเวลานั้น…ไปไม่ถึงซาคุ เพราะเด็กผู้หญิงคนที่ช่วยส่งเทปคนนั้น เกิดอุบัติเหตุเข้า

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม

….ความรักไม่เคยจางหายไป….

ริทซึโกะ….คือเด็กผู้หญิงส่งเทปคนนั้น
ในตอนต้นเรื่อง….เธอพบเสื้อของเธอตอนที่เธอยังเป็นเด็ก และตลอดทั้งเรื่องเราจะเห็นเธอเดินเหมือนคนขาเจ็บ แต่จริงแล้วเธอพิการจากอุบัตเหติคราวนั้น
วันนั้นเธอรีบไปส่งเทปให้อากิ เสียจนไม่ระวัง…ถูกรถชนจนเสียขาไปข้างหนึ่ง
และการที่เธอได้พบกับเทปของอากิอีกครั้ง เธอเสียใจที่ไม่อาจส่งเทปนั้นให้ซาคุได้

เทปสุดท้ายของอากิ ต้องใช้เวลา 17 ปี…กว่าจะถึงมือของซาคุ

ฉากสุดท้าย เราจะได้ฟังคำขอ…คำสั่งเสีย…และได้เห็นการปลดปล่อย
และการเริ่มต้นใหม่อย่างแท้จริง
ช่วงท้าย….ภาพวิวที่อูลูลู…สดใสสวยงามมาก + เพลงประกอบที่ Ken Hirai ร้องโดนใจมากๆๆๆค่ะ :up:

ประโยค…ประทับใจ….

"ถ้าคนเราตายไป….ความรักจะตายไปด้วยไหม?"

"เธอเกิดวันที่ 3 พฤศจิกาใช่มั้ย ….ส่วนฉันเกิดวันที่ 28 ตุลา….
แสดงว่า…..เธอไม่เคยมีแม้แต่เสี้ยววินาทีที่อยูบนโลกนี้ โดยที่ไม่มีฉันอยู่ด้วย
แม้ฉันจะจากไปแล้ว แต่โลกของเธอยังต้องหมุนต่อไป"

"ยามที่ฉันหลับลง สิ่งที่ฉันเห็นมีเพียงแต่เธอเท่านั้น
สิ่งที่ฉันจดจำได้ คือ ปากใหญ่โตของเธอที่เต็มไปด้วยขนมปังไส้บะหมี่ผัด
ใบหน้าเธอที่ยับยู่ยี่ไปด้วยเสียงหัวเราะ เธอหัวเราะอย่างจริงใจที่สุด
ทันใด…ใบหน้านั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนในรอยยิ้มอบอุ่น

ใบหน้ายามหลับของเธอที่เกาะยูเมะ ฉันหวังอยากเข้าไปใกล้พอที่จะสัมผัสได้…ในตอนนี้
คราวที่เธอให้ฉันซ้อนมอเตอร์ไซค์ ความอบอุ่นจากแผ่นหลังของเธอ มีความหมายเช่นแผ่นโลกกับฉัน
ความทรงจำที่ใช้ชีวิตร่วมกันมาทั้งหมด ทำให้ชีวิตฉันสุขสว่าง
ขอบคุณที่เธออยู่กับฉัน ฉันจะไม่ลืมเลือนช่วงเวลาที่มีค่าที่ได้อยู่กับเธอ
ฉันขอเพียงครั้งสุดท้าย โปรดโปรยเถ้ากระดูกของฉันไปตามสายลมแห่งอูลูรู
…และใช้ชีวิตของเธอต่อไปเถอะ ฉันดีใจมากที่ได้เจอเธอ
ลาก่อน”
 

อ่านหนังสือแล้วประทับใจ น้ำตาไหลซึมๆสองข้องตา ลองเอามาแบ่งปันๆ
จาก http://www.popcornfor2.com

All my Life

 

All my Life

 

I would never find another lover sweeter than you ( sweeter than you)
And I would never find another lover more precious than you (more precious than you)
Girl, you are close to me you’re like my mother, close to me you’re like my father,
close to me you’re like my sister, close to me you’re like my brother
You’re the only one, you’re my everything
And for you this song I sing…

Chorus ;
All my life I pray for someone like you
And I thank God that I, that I finally found you
All my life I pray for someone like you

Bridge1 :
And I hope that you feel the same way too
Yes I pray that do you love me too (ooh)

(I say that you’re all that I’m being in love)
Sayin’ I promise to never fall in love with a stranger
You’re all I’m thinking of
I praise the Lord above for sending me your love
I cherish every hug. I really love you

[Chorus]

[Bridge 1]

Bridge 2 :
You’re all that I ever know when you smile on your face all I see is glow
You turn my life around you picked me up when I was down

[Bridge 2] x 2

[Bridge 1]

ระดับความเมา

ได้เมล์มานานแล้ว …ชอบ แบ่งกันอ่านๆ

 

ระดับความเมา

สถาบันด๊อกเตอร์มาร์ตินได้แบ่งระดับความเมาเหล้าของมนุษย์ไว้
5ระดับด้วยกันคือ:

ระดับที่ 1: SMART(ฉลาด)
เมื่อคนดื่มเหล้าเข้าไปเมาจนถึงระดับนี้ซึ่งเป็นระดับแรก
จะรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล
และมักจะชอบเผื่อแผ่ความรู้ให้ทุกๆคนในบาร์
ความเป็นจริงทุกอย่างในจักรวาลจะถูกนำออกมาเปิดเผยหมด
ไม่ว่าใครจะพูดเรื่องอะไรคุณจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนั้นพอดิบพอดี
และคุณจะรู้สึกว่าทุกๆอย่างที่คนอื่นพูดมาจะเป็นเรื่องผิดไปหมด
ไม่ตรงกับข้อมูลที่คุณมี จึงจะมีการเริ่มตั้งข้อโต้แย้งต่างๆกัน

ระดับที่ 2: GOOD LOOKING(ดูดี)
คุณจะเริ่มค้นพบว่าคุณมีรูปร่างหน้าตาที่ดูดีที่สุดในละแวกนั้น
และทุกๆคนเริ่มที่จะหันมาสนใจคุณเพราะคุณดูดี
แน่นอนคุณสามารถเดินไปคุยกับทุกๆคนได้ทุกๆเรื่องด้วยเพราะคุณทั้งดูดี
และฉลาด

ระดับที่ 3: RICH(รวย)
เมื่อเมาถึงระดับนี้คุณจะค้นพบว่าตัวเองนั้นมีเงินมหาศาล
คุณสามารถที่จะเลี้ยงเหล้าทุกคนในบาร์ได้ เพราะคุณมีเงินมหาศาล
และถ้าใครพูดอะไรผิดหูคุณสามารถที่จะท้าพนันได้ทุกเรื่องเพราะคุณยังฉลาดกว่าด้วย นอกจากนี้คุณยังดูดี
มากๆด้วย

ระดับที่ 4: BULLET PROOF(คงกระพัน)
เมื่อเมาถึงระดับนี้ตัวคุณจะมีวิชาคงกระพันแก่กล้ากว่าคนทั่วไป
และพร้อมที่จะเข้าห้ำหั่นกับทุกๆคนได้
เพราะไม่มีใครจะทำอันตรายคุณได้
คุณสามารถท้าพนันตีต่อยกับเพื่อนคุณก็ได้
และคุณก็ไม่กลัวแพ้ด้วยเพราะว่าคุณทั้งฉลาด, ทั้งดูดี, ทั้งรวย
และต่อสู้เก่งระดับนักมวยอาชีพา

ระดับที่ 5: INVISIBLE(หายตัว)

ระดับความเมาสุดยอด
คุณต้องดื่มมากจึงจะเมาถึงระดับนี้ได้
ด้วยความเมาที่ระดับนี้คุณสามารถทำอะไรก็ได้ เพราะไม่มีใครเห็นคุณ,
จะไปเต้นรำบนโต๊ะ, แหกปากร้องเพลงกลางถนน,
ไล่ตีหัวคนอื่นก็ทำได้เพราะไม่มีใครเห็นคุณ

น่าคิด…….

4 วันที่พึ่งผ่านไป

ไม่ได้เข้ามาในสเปซซะ 4 วัน อะไรๆก็เปลี่ยนไปหลายๆอย่าง ไม่ใช่สเปซที่เปลี่ยนไป แต่ผมเองต่างหากที่เปลี่ยนไป หลายๆอย่างที่ผ่านเข้ามา บ้างดีและถูกใจ บ้างไม่ดีและไม่ถูกใจ…
 
ผมอยู่กับตัวเอง อยู่กับสิ่งที่ผมอยากจะคิด อยากจะทำ บ้างได้ทำ บ้างยังไม่ได้ทำ และ บ้างที่ไม่อยากทำ ผมรู้แต่ว่าการที่จะเดินหน้าต่อไปบนโลกใบนี้มันต้องอาศัยความเข้มแข็ง ซึ่งผมต้องเฟ้นมันออกมาจากตัวผม …จากตัวผมคนเดียว
 
 
เรื่องราวที่ผ่านมา 4 วัน มันก็ไม่มีอะไรมากไป น้อยไป มันสรุปได้ดังคำง่ายๆแบบนี้
 
ถนน
โล่ง ไม่มีรถวิ่งกันขวักไขว่ ผมชอบ …ถ้าไม่มีคนที่ผมรักนั่งอยู่ข้างๆ ผมแอบภาวนาเบาๆทุกครั้งให้รถติด ผมอยากให้ไฟแดงแสดงตัวออกมาบ่อยๆ เวลาที่ผมอยู่กับเธอ…
 
ฟ้าสีเทา
เป็นฟ้าเหงาๆแบบที่ชอบ
มันอาจจะดูอึมครึม …แต่มันก็ทำให้ไม่ร้อน
มันอาจทำให้มองไม่เห็นฟ้าใส …แต่มันก็ทำให้เราอยากออกมาเดินริมถนน
 
บัวหิมะ
มันใช่รักษาอาการของจอมยุทธ์ได้มากมาย ตั้งแต่ถูกฟันเป็นแผลจากเพลงกระบี่ที่ฉับไว จนถึงอาการาตุไฟแตกเพราะถูกกวนตอนฝึกวิชา แต่มันใช้กับผมไม่ได้ สิว ผมไม่หาย และดูบวมแดงน่ากลัว
 
สิว
อยากหาย ไม่อยากเป็นแผลเป็น
 
แฮรี่ พอตเตอร์
สนุกมาก เป็นยานอนหลับอย่างดี อ่านทีไม่เกิน 5 หน้า กะว่าจะพยายามให้จบเร็วๆ (ในเดือนนี้แหละ แล้วจะเอาตอนจบมาเล่านะ)
 
เวลา
มีความสุข จะผ่านไปเร็ว
มีความทุกข์ จะผ่านไปช้า 
มีทุกข์ที่ถูกผลกระทบจากคนอื่น จะเกิดอาการนอนไม่หลับ
 
Missed Call
ผมแค่ยังไม่อยากจะคุยตอนนี้ ขอโทษทีนะทุกๆคน
 
พี่สาว
เวรกรรม เราลืมโทรหาเธอ …อดกินกาแฟฟรีแน่เลย
ว่าแต่ พี่ปอยยังจะเลี้ยงอยู่ใช่มั้ยครับ
 
เพื่อน
เฮ้ย… โทษทีว่ะ กูยังไม่มีเวลาโทรหามึงเลยยยยย
 
ลาจาก
ตั้วเดินทางกลับญี่ปุ่นไปแล้ว ยังคิดถึงมึงนะ หนัง… กูก็ยังไม่ได้ เวรๆๆๆๆๆ
 
 
….
….
…..
…..

เหนื่อย

 
ผ่านไปอีกวัน กับวันทำงานที่แสนเหนื่อยหน่าย เหนื่อยหน่ายไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี แต่ที่ผมยกคำนี้มาใช้ก็เพราะผมรู้สึกขี้เกียจที่จะต้องออกเดินทางไปทำงานที่มีข้อจำกัด งานผมเป็นงานที่คนหลายคนสนใจ ดูสนุก น่าท้าทาย และมีสีสัน แต่อยากจะบอกว่า ลองมาทำเถอะคุณอาจจะชอบงานคุณมากกว่านะ
 
ผมแค่เหนื่อยๆกับงานเดิมๆ การพูดคุยกับคนที่เราหวังไว้ซึ่งผลประโยชน์ระหว่างกัน เราพูดคุยกันหวานปานน้ำผึ้ง แต่มันเป็นน้ำผึ้งที่ฉาบไว้บนมีดโกนที่คมกริบ ทุกคำพูดราวกับการเดินหมาก เราจะเพลี่ยงพล้ำหรือเดินนำหน้าไปหลายตาก็อยู่ที่ทุกวาจาเอื้อนเอ่ย
 
ใช่ มันวัดกันแทบทุกเสี้ยววินาที การที่ใครจะได้ผลประโยชน์มากกว่ากัน การที่ใครจะเสียผลประโยชน์ให้แก่กัน ท้าทาย มีสีสัน แต่เหนื่อยตัวกลั่น ไม่ได้ลองทำไม่มีใครรู้
 
2 วันที่ได้หยุด หวังว่าคงได้พัก วันพรุ่งนี้กับวันมะรืน คงได้อยู่กับความสงบบ้าง…

The blower’s daughter

My favourite song of this tired week. I feel so confuse about my work, what I’m doing here? This song is get along with my mood right now. The Blower’s Daughter, Damien Rice.

 

And so it is
Just like you said it would be
Life goes easy on me
Most of the time
And so it is
The shorter story
No love, no glory
No hero in her sky

I can’t take my eyes off of you
I can’t take my eyes off you
I can’t take my eyes off of you
I can’t take my eyes off you
I can’t take my eyes off you
I can’t take my eyes…

And so it is
Just like you said it should be
We’ll both forget the breeze
Most of the time
And so it is
The colder water
The blower’s daughter
The pupil in denial

I can’t take my eyes off of you
I can’t take my eyes off you
I can’t take my eyes off of you
I can’t take my eyes off you
I can’t take my eyes off you
I can’t take my eyes…

Did I say that I loathe you?
Did I say that I want to
Leave it all behind?

I can’t take my mind off of you
I can’t take my mind off you
I can’t take my mind off of you
I can’t take my mind off you
I can’t take my mind off you
I can’t take my mind…
My mind…my mind…
‘Til I find somebody new

อยู่ๆกูก็ผิด

แม่งเอ๊ย…กูไม่ได้ทำห่าไรเลย อยู่ๆแม่งก็โกรธกู
 
เฮ้ย…มึงจะบ้าเหรอ เพื่อนกันนะเว้ย อย่าคิดมากซิ
 
สัตว์ …มึงจะเอางั้นเลยเหรอ เออ…แล้วแต่มึงจะคิดว่ะ
 
ประโยคเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อยๆในชีวิตคนหลายๆคน ผมด้วย ผมก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เคยพูดประโยคพวกนี้ด้วยอารมณ์ หลายๆครั้งเราไม่รู้ว่าเพื่อนของเรา เขาคิดอะไรอยู่ถึงต้องมาโกรธอะไรเรากันนักหนา จากการที่เราเลิกทำอะไรบางอย่างที่เราเลือกทำ
 
ผมเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาด้วยหยาดเหงื่อจากการทำงาน เรียนรู้มันด้วยน้ำใจที่ซื้อมาด้วยความบริสุทธิ์ซื่อตรง และ สูญเสียมันไปด้วยความหวั่นไหวของอารมณ์ที่ไร้เดียงสาของสมองที่ไม่พัฒนาเต็มที่
 
ผมเคยเป็นคนที่ เคย ทุ่มเทให้เกินร้อยกับคำว่า มิตรภาพ ผมเคยเป็นคนที่เสนอตัวทำทุกอย่างเพื่อไม่ต้องการให้ใครลำบาก เป็นคนที่ยอมรับทุกๆอย่างแทนเพื่อนได้ แม้แต่ความผิด …แน่นอน มิตรภาพนั้นทำให้ผมได้รับการยอมรับ ทำให้ผมซื้อใจคนได้มากมาย ทำให้ผมกลายเป็นที่พึ่งของใครหลายต่อหลายคน และผมก็เคยพอใจกับมัน…
 
ผมยังคงเป็นคนอย่างนี้ไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้คาดหวังว่า return มันจะเท่ากับสิ่งที่ผม Give ไป ผมแค่ภูมิใจ และพอใจในสิ่งที่ผมทำแล้วคิดว่าดี…
 
วันหนึ่งผมไม่สามารถทำในสิ่งที่ผมเคยทำได้ ผมอาจจะให้เวลากับตัวผมเองมากขึ้น ใส่ใจกับพวกเขาน้อยลง ผมไม่ได้คิดอะไร แน่นอนอยู่แล้ว ไม่ได้คิดว่าเป็นการไปทำร้ายใคร ผมแค่หยุดในสิ่งที่ผมเคยเสียสละ ทั้งๆที่การเสียสละนั้นก็ไม่ได้มอบอะไรให้ผมมากนัก ผมแค่หยุดในสิ่งที่จริงๆผมไม่ต้องทำก็ได้
 
วันที่ผมหยุดเสียสละ …วันนั้นมุมที่ทุกคนมองผมก็เปลี่ยนไป
 
นี่ๆวันนี้ไปส่งที่บ้านด้วยนะ …ไม่ได้เหรอ อ้าวแล้วพวกเราจะกลับกันยังไง เห็นแก่ตัวว่ะ ไปส่งเพื่อนก็ไม่ได้…
 
นี่ๆเดี๋ยวแกช่วยขับรถไปรับพวกเราหน่อยซิ …ไม่ได้เหรอ อ้าวแล้วพวกเราจะไปกันยังไงล่ะ
 
เลิกงานแล้วจะรีบกลับทำไมล่ะ อยู่เป็นเพื่อนกันก่อนซิ พวกพี่ยังไม่กลับเลย
 
เลิกงานแล้วจะรีบไปไหนล่ะ แหม…เลิกงานปุ๊ปเด้งเลยนะ
 
วันนี้อยู่ช่วยงานคณะรึเปล่า ไรอ่ะ แค่นี้ก็ไม่ยอมอยู่ให้กำลังใจกัน แย่ว่ะ
 
แล้ว ตัวกูเองล่ะ
 
 
ผมได้บทเรียนที่ว่า คนเราทำงานของเราให้ดีที่สุดก็พอแล้ว อย่าเป็นเทพผู้เสียสละ เมื่อใดที่เราสร้างความคาดหวังในตัวเราให้เกินจริง วันที่เราทำได้แบบนั้น วันที่เราฝืน เราคือที่รักของทุกคน แต่ในวันที่เราหยุดฝืน วันนั้นเราก็คือไอ้ คนเห็นแก่ตัว
 

10 things I hate about U.

 

10 Things I Hate About You

 I hate the way you talk to me. And the way you cut your hair.

 I hate the way you drive my car. I hate it when you stare.

 I hate your big dumb combat boots. And the way you read my mind.

 I hate you so much it makes me sick– it even makes me rhyme.

 I hate the way you’re always right. I hate it when you lie.

 I hate it when you make me laugh — even worse when you make me cry.

 I hate it that you’re not around. And the fact that you didnt call.

 But mostly I hate the way I don’t hate you — not even close, not even a little bit, not any at all.