การคุกคามโง่ๆ ของการทำการตลาดแบบผิดๆ
มีเรื่องกวนใจผมตั้งแต่เช้าที่ผ่านมาเนื่องจากเบอร์โทรศัพท์เบอร์หนึ่ง ซึ่งเป็นเบอร์ที่มีความพยายามสูงมั่กๆๆๆๆ สูงปรี๊ดดดดดดด (ทำเสียงแหลม) พยายามโทรเข้ามาหาผมตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นๆ แต่ผมไม่ได้รับสายเนื่องจากติดงานอยู่ และไม่ได้พยายามโทรกลับเพราะคาดเดาเอาไว้ว่าน่าจะเป็นเบอร์แนวๆพวกแจ้งยอดอะไรสักอย่าง (แนวๆพวกลงท้ายด้วย 02-xxx-0000) ซึ่งยังไงก็ตามผมต้องได้รับเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษรอยู่แล้ว
แต่ๆแล้วๆ เช้าตรู่วันนี้ประมาณ 7 โมงเช้า ซึ่งผมถือว่าเป็นเวลาส่วนตัวอยู่ โทรศัพท์เบอร์เดิมก็โทรเข้ามาอีก (เบอร์สมมติ 02-791-000) ผมก็เลยรับสาย เพราะกลัวว่าอาจจะเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนอะไรสักอย่างจากงานที่ผมติดต่ออยู่ พอผมรับสาย
เสียงที่ลอยมาตามสายก็คือ สวัสดีค่ะ ถ้าท่านต้องการฟังข้อมูลต่อ กด 1 ถ้าท่านต้องการฟังข้อมูลภายหลังกด 2 ผมตัดสายทิ้ง เพราะผมเกิดอารมณ์รำคาญขึ้นมาละ เวลาส่วนตัวผม (กู) คุณ (มึง)ยังอุตส่าห์โทรมาขายของ ผมหงุดหงิดขึ้นมา 30%
ผ่านไปชั่วโมงกว่าๆ ผมอยู่ที่ลาน free weight ใน fitness โทรศัพท์ก็ดังเข้ามาอีก ผมตัดสินใจว่าอยากรู้ว่า สินค้าอะไรที่โทรมากวน (เท้า) และตื้อได้อย่างไร้มารยาทขนาดนี้ ผมตัดสินใจกด 1
ยินดีด้วยค่ะ คุณเป็นผู้โชคดีหนึ่งใน 50 ท่านที่ทาง XXX Fitness เลือกขึ้นมา WOWWWWWWW เพียงคุณ… ตรู๊ดดดด ผมตัดสายทิ้ง
เสียง operator ผู้หญิงที่ลอยมาตามสายนั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจประหนึ่งว่า ยินดีกับผมจริงๆ… แต่คุณรู้มั้ย คุณกำลังสร้าง bad perception ให้กับกลุ่มลูกค้าเช่นผม ความหงุดหงิดเพิ่มมาที่ 70%
ผมเดินทางมาทำงานตามปกติ
แต่แล้วเมื่อสิบนาทีที่ผ่านมานี่เอง !!!! กริ๊งงงงงงง มันโทรมาอีกครับ ทั้งๆที่โทรมาแล้วไม่ต่ำกว่าสองที แล้วผมก็กดสายทิ้งตลอด ผมก็เลยตัดสินใจที่จะนำเรื่องนี้มาเขียนเล่าสู่กันฟัง
ดังนั้น จากการที่เขาอาจจะได้สมาชิก club ของเขาเพิ่มอีก 1 คน กลับกลายเป็นว่า เขาสร้างคนที่เกิด bad brand recognition ขึ้นมา 1 คน (ซึ่งจะนำไปเล่าต่อให้เพื่อนๆฟังอีกไม่ต่ำกว่า 10 คน) มันคุ้มกันมั้ยกับสิ่งที่เขาลงทุนทำอยู่??
ประเด็นที่เกิดขึ้นจากเรื่องราวทั้งหมด อันเป็นสิ่งที่จะทำให้เกิด bad perception และนำไปสู่ bad recognition ในตัวแบรนด์ของสินค้า
1. ผมไม่เคยให้ข้อมูลกับบริษัท fitness แห่งนั้น และไม่เคยแสดงความจำนงที่จะรับข้อความใดๆจากทางบริษัท สิ่งที่คุณทำจึงเป็น "การคุกคามผู้บริโภค"
2. การแจ้งโปรโมชั่นที่ดูไม่เนียน หรือ มีความเป็นไปได้ต่ำ เข้าข่ายของ "การหลอกลวงผู้บริโภค" มีความเป็นไปได้กี่ % ที่คุณจะคัดเลือกคนขึ้นมาเพียง 50 คนจริงๆ มันไม่คุ้มกับการลงทุนเลย non-sense ไปหน่อยสำหรับ dialog ชวนเชื่อแบบนั้น
3. สิ่งที่แย่ที่สุดก็คือ คุณตั้งโทรศัพท์ระบบอัติโนมัติโดยไม่ได้ดูเวลาเลย คุณโทรหาลูกค้าโดยที่ไม่สนใจเวลาเลยว่าตอนไหนเป็นเวลาส่วนตัวของลูกค้า "คุณกำลังลุกล้ำสิทธิส่วนบุคคลของผู้บริโภค"
สิ่งที่คุณควรจะรู้ในก่อนที่จะแจ้งข่าวสารให้กับลูกค้าของคุณตามหลัก Permission Marketing ของ Seth Godin
1. การขออนุญาติ เพื่อหลีกเลี่ยงการต่อต้านในจิตใจของลูกค้า โดยพื้นฐานแล้วมนุษย์ทุกคนมีเส้นล้อมรอบตัวอยู่เป็นวงกลม ถ้าใครมาเดินๆเลียบๆและทำท่าพยายามจะเข้ามา โดยที่ไม่ได้ขออณุญาติเรา เราจะต่อต้าน และสร้างภาพลักษณ์ในเชิงลบแก่สิ่งนั้นๆที่ทำท่าเหมือนจะคุกคาม
2. การศึกษาจิตวิทยาพื้นฐานของมนุษย์ คุณควรจะรู้ว่า เวลาไหน ควร ไม่ควร ในการจะทำอะไร ถ้ามีคนโทรมาหาคุณเพื่อขายของตอนสองทุ่ม คุณจะชอบมั้ย เรื่องนี้ก็ควรใส่ใจให้หนักหน่อย
3. การเลือกใช้ถ้อยคำ ที่ดูสร้างสรรค์กว่าสิ่งที่คุณใช้อยู่ เพราะแค่คุณพูดออกมาเรื่องผู้โชคดี จะมีกี่คนใน กทม. เชื่อเรื่องนี้ของคุณ??
หวังว่าถ้า staff การตลาดของบริษัทที่ผมเขียนถึง ได้อ่านเรื่องนี้ดู น่าจะเป็นประโยชน์แก่เขาบ้าง ไม่มากก็น้อย
ภาพประกอบจาก internet