สถานีช่องนนทรี เมื่อเดือนก่อน
พระอาทิตย์คล้อยตัวลงต่ำจนลับขอบฟ้า
เงามืดเคลื่อนตัวปกคลุมทั่วไปทุกหนแห่ง
ราวกับแสงไฟที่หรี่ลงในโรงภาพยนต์ก่อนที่หนังจะฉาย
บันไดเลื่อนพาคนมากมายจากทุกฟากของถนนที่อัดแน่นไปด้วยรถราขึ้นไปยังสถานีรถไฟฟ้า
ผมก็เป็นคนหนึ่งคนที่ปะปน และเคลื่อนไหลไปพร้อมกับคลื่นมนุษย์ที่ย่ำเท้าคนละจังหวะ
แต่มุ่งไปที่เป้าหมายเดียวกัน
ความเบียดเสียดยัดเยียดเป็นตัวแทนที่ดีของช่วงเวลาเลิกงาน
ยิ่งในย่านที่พลุกพล่านไปด้วยตึกราอาคารแบบสาธรแล้ว
ความเร่งรีบ อย่างอึดอัดยิ่งดูเพิ่มทวีคูณ
ผมไหลไปตามกระแสของคลื่นมนุษย์
ผ่านบันไดเลื่อนที่เคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ
ผ่านประตูรูดบัตรทางเข้ารถไฟฟ้า
ผ่านฝูงชนที่เร่งรีบเดินขึ้นไปบนชานชลา
วันนี้ผมมีนัดทานข้าวกับเพื่อนๆแถวสถานีพร้อมพงษ์
ผมต้องลงรถไฟฟ้าที่สถานีสยามเพื่อเปลี่ยนขบวน
จับรถไฟขบวนต่อไปไฟฟ้าขบวนที่มุ่งหน้าไปสถานีอ่อนนุช
ผมหยิบหูฟังสีขาวขึ้นมาเสียบเข้าไปที่หูทั้งสองข้าง
หมุนหน้าปัดกลมๆไปยังเพลงที่ต้องการ
ผมปล่อยตัวเองไปกับเสียงเพลงที่ดังออกมาจากหูฟังทั้ง 2
เครื่องเล่นเพลงราคาแพงแยกผมออกจากความวุ่นวายจากสิ่งรอบข้างได้เป็นอย่างดี
รถไฟฟ้าเคลื่อนตัวเข้าเทียบที่ชานชลาอย่างช้าๆ
ผมเตรียมตัวเดินเข้าไปตามสัญชาติญาณ
คนจำนวนมากต้องการที่จะโดยสารรถขบวนนี้เพื่อมุ่งหน้าไปต่อรถที่สถานีหลัก
แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งเหมือนกัน
ที่เลือกลงที่สถานีนี้
วินาทีที่ประตูเปิดนั่นเอง
นั่นคือวินาทีที่ผมสูญเสียจิตวิญญาณไป
ผมยาวสลวยถึงกลางหลัง
ปลิวไหวไปตามท่วงท่าเยื้องกรายที่นำเธออกจากขบวนรถไฟฟ้า
ผมสบตาเธอเพียงแค่เสี้ยววินาที
แต่เป็นช่วงเวลาเสี้ยววินาทีที่ยาวนานกว่าทั้งชีวิต
ผมสู้แรงดันที่ดุลหลังผมให้ผ่านเข้าไปในรถไฟฟ้าไม่ได้
ทั้งๆที่ผมอยากจะหยุดอยู่ตรงนั้น
กระแสมนุษย์ผลักผมเข้าไปสู่ใจกลางรถไฟฟ้า
เธอเดินผ่านออกไปทางประตูที่กำลังปิดลง
ผมอยากจะฝืนวิ่งตามเธอออกไป
สองมือปัดป่ายคลื่นมนุษย์เป็นพัลวัน
ราวกับมัจฉาที่ว่ายทวนกระแสน้ำหลาก เสียงก่นด่าดังมาจากรอบทิศ
แต่ความมุ่งมั่นไม่ได้ทำให้ผมไขว้เขวไปแม้แต่นิดเดียว
ประตูรถไฟฟ้าปิดลงพร้อมเสียงสัญญาณ
ผมทำได้ดีที่สุดเพียงแค่ยืนเกาะหน้าต่างที่บานประตู
มองออกไปเห็นหลังไวๆที่มีผมยาวสลวยทิ้งตัวยาวอยู่กลางหลัง
รถไฟฟ้าค่อยๆเคลื่อนออกจากชานชลา
พร้อมๆกับตัวเธอที่ค่อยๆเคลื่อนลงบันได
เสียงเพลงในหูฟังเงียบไป
เพราะเสียงเต้นของหัวใจผมดังกลบ…
สถานีสยาม เมื่ออาทิตย์ก่อน
ผมค่อนข้างมีสติน้อยไปหน่อยเมื่อเทียบกับวันอื่นๆ
ผมพึ่งเดินเซไปเซมาจากร้านอาหารในสยามสแควร์ที่ผมและเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยไปร่วมสังสรรค์กัน จนมาถึงสถานีรถไฟฟ้าสยาม
ผมปลีกตัวออกมาก่อนเที่ยงคืนเพื่อจะให้ทันก่อนรถไฟฟ้าขบวนสุดท้ายจะวิ่งหมด
กลิ่นเหล้าที่ระเหยออกมาจากตัวผมคงสร้างความรำคาญให้กับคนรอบข้างไม่น้อย
ผมสังเกตุจากสายตาที่มองมาที่ผม
ทันทีที่ประตูรถไฟฟ้าเปิดที่ชานชลา
ผมแทรกตัวเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ตัวริมชิดกับประตู
เอาหัวมึนๆเอนเข้าพิงพลาสติกใสที่เป็นฉากกั้น
มองออกไปยังหน้าต่างที่ประตูฝั่งตรงข้าม
รถไฟฟ้าเคลื่อนตัวออกจากสถานีสยามมุ่งหน้าตรงไปยังสถานีอ่อนนุช สถานีปลายทาง
คนที่เริ่มจะเมาหนึ่งคน มองอย่างมึนๆไปยังนอกหน้าต่างรถไฟฟ้า
พระจันทร์วันเพ็ญลอยเด่นให้เห็นเมื่อรถไฟฟ้าวิ่งผ่านทางด่วนเพลินจิต
จุดเดียวในเส้นทางที่ไม่มีตึกขวางกั้นทัศนียภาพระหว่างท้องฟ้า กับ รถไฟที่วิ่งผ่าน
อาจจะเพราะเมา เกือบเมา หรือ สับสนอะไรบางอย่าง
ผมคิดถึงดวงตาสวยคู่นั้น
มันกลมโตเหมือนกันกับพระจันทร์ที่ลอยเด่น
แม้เวลาจะผ่านมาหลายสัปดาห์แล้วแต่ผมยังจำตาคู่นั้นได้ดี
ผมยิ้มพลางหาอะไรทำฆ่าเวลาก่อนที่รถไฟฟ้าจะนำส่งผมถึงสถานีเอกมัยที่ผมต้องลง
สองมือของผมก็หยิบเอาเครื่องเล่นเพลงออกมาจากกระเป๋า
หูฟังทั้งสองข้างก็เสียบเข้าที่หู
และผมก็เร่งเสียงเพลงภาษาเกาหลีที่โหลดมาจากในเน็ท
เพลงดังที่ผมไม่เคยเข้าใจความหมายของมันแม้แต่นิดเดียว
ผมหลับตาไป ไม่รู้นานเท่าไร
จนสะดุ้งลืมตาขึ้นมาเมื่อคนที่นั่งข้างๆผมลุกขึ้น
ผมหรี่เสียงเพลงจากเครื่องเล่น
เงี่ยหูฟังว่าถึงสถานีอะไร
เสียงพนักงานประกาศผ่านลำโพงแตกพร่าของรถไฟฟ้า ว่าถึงสถานีทองหล่อ
ผมยังมองไปยังหน้าต่างที่ประตูที่ทำให้ผมนึกถึงเธอคนนั้น
ประตูรถไฟฟ้าค่อยๆเปิดโดยที่ผมไม่ทันรู้ตัว
บานประตูที่ฉายภาพของเธอถูกเลื่อนเก็บเข้าไปยังสองข้างของขบวนรถไฟ
แต่ภาพเธอยังคงอยู่ตรงนั้น
ไม่ใช่ซิ…
เธอยืนอยู่ตรงนั้นต่างหาก
ผู้หญิงที่ผมฝันถึง
ผู้หญิงที่ผมไม่เคยรู้จัก
ผู้หญิงที่ผมเอาหน้าเธอไปแทนที่นางเอกหนัง AV ญี่ปุ่นที่ผมดูก่อนนอน
และแน่นอน ผมเอาหน้าผมไปแทนที่ผู้ชายที่แสดงคู่
ผมพบเธออีกครั้ง
อีกวินาทีหนึ่งที่จิตวิญญาณของผมถูกพรากออกไปจากสังขารอีกครั้ง
เธอใส่แว่นตาดำอันใหญ่บังหน้าเธอไปกว่าครึ่ง
แต่ผมจำหน้าเธอได้ดี
เธอมองตรงมายังผม …อย่างน้อยผมก็คิดแบบนั้น
ผมยังจ้องมองเธออย่างตกตะลึงในขณะที่เธอเดินเข้ามา
เธอนั่งลงตรงที่นั่งว่างข้างๆผม
ผมตัวแข็งทื่อ…
แต่หัวใจเต้นแรงจนกระเทือนไปถึงสมองที่ความคิดวิ่งพล่าน
จินตนาการบ้าๆถูกแรงขับดันทางเพศ และฤทธิ์แอลกอฮอลล์
ชี้นำจนตั้งชัน และ กระเจิดกระเจิง
ผมกุมมือแน่นที่ขากางเกงตัวเอง
พยายามที่จะไม่แสดงอะไรพิลึกๆออกมาให้เธอตกใจ
ผมอยากจะหันไปมองหน้าเธอเต็มๆ
แต่ก็ขาดซึ่งความกล้า
มันมึนตื้อไปหมด
จินตนาการกระเจิดกระเจิง!
ชุดแต่งงานสีสันสดใส
ประทับทาบบนร่างกายเธอ
ส่วนตัวผมก็เป็นทักซิโด้สีฟ้าเข้ม
งานแต่งงานริมทะเลที่มีท้องฟ้าเป็นสีเขียว
และสีน้ำทะเลเป็นสีม่วง
หาดทรายสีเหลืองสดอยู่ภายใต้ฝ่าเท้าเปลือยเปล่า
ผมโอบกอดเธอ พรมจูบอย่างบรรจลลงไปที่ริมฝีปากบางๆคู่นั้น
มือผมคลอเคลียไปกับผมที่ยาวประหลังของเธอ
ผมหลับตา
จินตนาการกระเจิดกระเจิง
ผู้โดยสารกลุ่มหนึ่งยืนออกันที่หน้าประตูเพื่อเตรียมตัวลง
ประตูค่อยๆเปิด ผู้โดยสารค่อยๆทยอยเดินกันออกไป
ออกไปยังชานชลาของสถานีที่ผมควรจะลง
ผมนั่งต่อไป
ปลดปล่อยจินตนาการให้เตลิดอีกครั้ง…
สถานีเอกมัย เมื่อวานนี้
หลังจากสัปดาห์ก่อนที่ผมเจอเธอเป็นครั้งที่ 2 บนรถไฟฟ้า
ผมก็เริ่มถวิลหาจะเจอเธอมากขึ้น ผมเฝ้ามองขบวนรถไฟฟ้าทุกขบวนที่วิ่งผ่าน
หน้าต่างทุกบานถูกผมตรวจสอบอย่างตั้งใจ
ถึงแม้ว่าคืนวันนั้น
มันจะจบลงแบบทุเรศๆไปหน่อย
ผมจำไม่ได้ว่า สมองและจิตนาการของผมชักนำอะไรให้เกิดขึ้นบ้าง
เสียงเรียกจากนายตรวจที่ปลายสถานี ปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์
สถานีปลายทาง สถานีอ่อนนุช
สภาพเหมือนศพเน่าๆของผู้ชายที่ไม่คิดว่าตัวเองเมาคนหนึ่ง
นอนกองพิงอยู่กับแผ่นพลาสติกกั้น
ทั้งมึน ทั้งอาย และสับสน
ผมหลับไปตั้งแต่เมื่อไร…
แล้ว …เธอลงไปที่สถานีไหน
มึนงงไปหมด
ผมต้องเดินทางกลับบ้านด้วยรถแท็กซี่เพราะนั่งเลยสถานีที่ต้องลงมาไกล
นอกจากนั้นเวลานี้ก็เป็นเวลาที่รถไฟฟ้าหยุดให้บริการแล้วด้วย
ผมตื่นมาในตอนสายของวันรุ่งขึ้นด้วยความรู้สึกแปลกๆ
ผมอยากเจอเธออีกครั้ง
คนที่ผมแต่งงานด้วยในมโนคติ โดยที่ไม่ได้รู้จักแม้แต่ชื่อของเธอ
เราจุมพิตกันเพื่อแยกจาก
เราโลมไล้กายกันอย่างเผ็ดร้อนเพื่อตื่นมาพบว่าสิ่งนั้นเป็นเพียงแค่ความฝัน
บทกวีที่กล่าวร่ายในหนังสือนิยายประโลมโลกที่ผมหยิบอ่าน
ไม่ได้ช่วยลดความใคร่ที่จะได้เจอเธอลงแม้แต่น้อย
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆในโลกเริ่มเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจที่บิดเบี้ยวของผม
ความกระหายอยากมันเกินจะกักเก็บ
จิตใจก็รุ่มร้อนแผดเผาร่างกายที่มันอาศัยเป็นภาชนะอยู่
ผมดับความฟุ้งซ่านรุ่มร้อนด้วยสุรา
แต่ดังภาษิตจีนโบราณกล่าวไว้
หากยามใดลิ้มรสสุราแล้วไม่เกิดความปิติจากรสของมัน
ย่อมเป็นไปได้ว่ามิใช่รสของมันผิดเพี้ยน
แต่เกิดจากใจที่เจ็บป่วยเสียมากกว่า
กลางวันเฝ้าตามหา
ตกกลางคืนใช้สุราดับร้อนในใจ…
ผมจะได้เจอเธออีกครั้งหรือไม่…
ผมได้แต่เฝ้าภาวนา
สถานีทองหล่อ คืนนี้
ผมเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ากับการตามหาเธอกว่าสัปดาห์
เวลาร้อยกว่าชั่วโมงที่ผ่านไปราวร้อยปี
หมกมุ่น วนเวียน ลุ่มหลง และ ไร้แก่นสาร
มีแต่ความว่างเปล่าที่จะไขว่คว้าหาความฝันชั่ววินาทีที่เกิดขึ้นอย่างเลือนลาง
ผมตั้งใจจะจบมันในคืนนี้ กับเหล้าสัก 2 ขวด
แอลกอฮอลล์น่าจะฆ่าเซลล์สมองที่ฟุ้งซ่านได้ชะงักนัก
การลงทุนนี้น่าจะคุ้มค่าอยู่ในระดับหนึ่ง
ผมเรียกรถแท๊กซี่เข้าไปยังกลางซอยทองหล่อ
เป้าหมายของผมอยู่ไม่ไกลนัก
ผมให้รถจอดอยู่ที่หน้าร้าน
หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเพื่อนผมที่มานั่งรออยู่ก่อน
คุยกันเสร็จสรรพ์ ผมก็ตรงไปที่โต๊ะ
เลือกที่นั่งที่ติดริมกระจก เพื่อจะได้มีโอกาสแหงนหน้าขึ้นไปมองแสงจันทร์อีกครั้ง
การดื่มน้ำจันทน์ใต้แสงจันทร์
มอบบรรยากาศที่ลุมลึกเกินจะกล่าว
แก้วเหล้าแก้วแล้วแก้วเล่าถูกวนไปมาเพื่อเติมเหล้า
ผมตั้งใจจะไปให้ถึงจุดมุ่งหมายโดนไม่รอช้า
เซลล์สมองกำลังถูกทำลาย
มันไม่สามารถฝืนต่อสู้ผมได้
แรงกระหายอยากแข็งแรงกว่าที่มันจะต่อต้าน
ผมทำงานได้ดี สติผมกำลังจะขาด
เป็นห้วงหฤหรรษ์ที่ผมตัดขาดจากโลกภายนอกอีกครั้ง
นาฬิกาไม่สามารถบอกเวลา
ปฏิทินไม่สามารถบอกวัน
และเซลล์สมองที่ตายลงตายลงของผม ก็เริ่มจะบอกตัวเองไม่ได้
…ว่าผมเป็นใครกันแน่
ราวกับเมายา
ราวกับโลกหลุดลอย
จินตนาการบรรเจิด มันเตลิดไปทุกทิศทุกทาง
ผมทำลายสติการรับรู้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ…
ผู้คนมากมายเดินผ่านบานกระจกที่ผมแฝงกายอยู่ด้านหลัง
ไม่มีใครมองเข้ามา
มีแต่ผมที่มองออกไป
ราวกับว่าผมยังต้องการจะตามหาอะไรบางอย่างอยู่
หรือว่าผมจะไขว่คว้าดวงจันทร์ที่สุกสกาวในคืนวันเพ็ญ
ผมเอื้อมมือไปที่กระจกเพื่อจะไขว่คว้าเงาจันทร์ที่ทอดกายอยู่ในนั้น
แม้จะเอื้อมจนสุดมือ เป้าหมายที่คว้าได้มีเพียงแค่กระจกที่กั้นผมและพระจันทร์บนนภา
มันแบ่งแยกผมกับภายนอก
ดุจแยกความฝันและความเป็นจริง
ผมแนบมือลงที่กระจกอยู่อย่างนั้น
ยิ้มและมองดวงจันทร์
ไขว่ขว้าไม่ได้ เพราะเราอยู่กันบนโลกคนละใบ
เงาอะไรบางอย่างมาขวางผมและเงาจันทร์
ความเป็นจริงที่ซ้อนทับ
หรือความฝันที่บังตา
มือขาวข้างหนึ่งทาบเข้ากับมือผม
ข้างหนึ่งอยู่ในกระจก อีกข้างหนึ่งไม่
ผมมองไล่ตามมือ ตามแขน ไปจนถึงหน้าที่มาของมือขาวข้างนั้น
เป็นอีกวินาทีที่ผมแยกไม่ออกระหว่างความจริงกับความฝัน
ความเมากับสติ
ผมอยู่บนโลกใบไหนกันแน่
เธอนั่นเอง
ผู้หญิงที่ผมตามหา…
คนที่ผมไม่รู้จัก และไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร
สายตาผมสบประสานกับเธออย่างงงวย
เธอมองตอบกลับมา
เธอพูดอะไรบางอย่างในรอยยิ้มที่ผมเห็น
เธอยิ้มมาให้ผม
ความพยายามครั้งสุดท้ายก่อนที่ผมจะผล็อยหลับไปเพราะฤทธิ์เหล้า
ผมพยายามอ่านริมฝีปากของความฝันที่ลอยอยู่ท่ามกลางความจริง
ผมว่า…
ริมฝีปากบางคู่นั้นพูดว่า
…เราพบกันอีกแล้วนะคะ
แล้วโลกของผมก็มืดดับไป
……………………………………………………………………………….
ผมพยายามเข็ญเรื่องนี้ออกมาเป็นเวลาหลายวัน
ความคิดต่อเนื่องมันมีเกี่ยวกับเรื่องนี้
จุดเริ่มของมันเกิดจากการที่เพื่อนของผมคนหนึ่งเอาเพลงเพลงหนึ่งให้ผมฟัง เพลงนั้นมีชื่อว่า
ไม่รู้จักฉัน ไม่รู้จักเธอ ของ อพาร์ตเมนท์คุณป้า
เราสองคนนั่งฟังและแบ่งปันความคิดกันว่า
เพลงนี้มันต้องการสื่ออะไร
มันช่างเป็นเพลงที่มีความมหมายแตกแยก และต่อต้านอะไรบางอย่างอยู่ลึกๆ
สำหรับเรื่องข้างบน
ก็คือความคิดเห็นที่ผมมีต่อเพลงนี้
ไม่รู้จักฉัน ไม่รู้จักเธอ
ศิลปิน : อพาร์ตเมนต์คุณป้า
Intro: G D F C Em A C (2times)
Em A7
นั่งคนเดียวแล้วมองกระจก ที่สะท้อนแสงจันทร์วันเพ็ญ
Em A7
โดดเดี่ยวกับความเหงา อยู่กับเงาที่พูดไม่เป็น
Em A7
ฟังเพลงเดิมๆที่เรารู้จัก แต่ไม่รู้ความหมายของมัน
Em A7 C
หากฉันจะหลับตาลงสักครั้ง เพื่อพบกับเธอผู้เป็นนิรันดร์
G D
* หากความรักเกิดในความฝัน เราจุมพิตโดยไม่รู้จักกัน
F C
ปฏิทินไม่บอกคืนและวัน ดั่งที่ฉันไม่เคยต้องการ
G D
แต่อยากให้เธอได้พบกับฉัน เราสมรสโดยไม่มองหน้ากัน
F C
จูบเพื่อร่ำลาในความสัมพันธ์ ก่อนที่ฉันจะปล่อยเธอหายไปโดยไม่รู้จักเธอ
Instru: Em A C (2times)
Em A7
ทบทวนเรื่องราวต่างๆ ทุกๆครั้งที่ฉันตื่นนอน
Em A7
บทกวีไม่มีความหมาย ฉันงมงายสวดมนต์ขอพร
Em A7
หากจะมีโอกาสสักหน ที่ร่ายมนต์กับสายน้ำจันทน์
Em A7 C
เพื่อจะได้หลับตาลงสักครั้ง แล้วพบกับเธอผู้เป็นนิรันดร์
Instru: Em A C (2times)
(ซ้ำ *)
Instru: G D F C (2times) Em A C (2times)
(ซ้ำ *)
Instru: Em A C (2times)