ปี 2550
หากคนที่มีโอกาสได้เขียนเรื่องลงนิตยสารรายเดือน
จะเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียน…
ผมก็คงต้องเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียน…
สักที…
ปีที่ผ่านไปนี้ มีเรื่องมากมายเกิดขึ้น
ในชีวิตยี่สิบเจ็ดปีที่ผ่านมา
มันอาจจะเป็นปีที่หนักหนาที่สุดในชีวิต
และแน่นอน …มันเป็นปีที่ฉวัดเฉวียนที่สุดในชีวิตวันนี้ของผม
มีความเสียหายที่ไร้ทางเยียวยาเกิดขึ้นกับชีวิตของผม
รอยแยกที่ไร้ทางเยียวยา
ความทรงจำที่ไร้ทางแก้ไข
แม้อยากย้อนเวลาเพียงใด
ความทรงจำบางอย่างก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจลบเลือน
ในทางกลับกัน ความรื่นรมย์ประดุจฝนแรกแห่งวสันต์ฤดูก็พร่างพรมลงบนผืนป่าแห่งจิตใจผมอยู่เช่นกัน
มีเรื่องดีๆเกิดขึ้นหลายเรื่อง
หากจะเปรียบไปก็คงคล้ายกับสองด้านของเหรียญ
ความเสียใจ และความปิติ
สองด้านที่มนุษย์ทุกผู้ต้องเจอะเจอ และลิ้มรสทั้งความขื่นขม และหอมหวานของมัน
หากจะเรียกความพึงพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ว่าพอเพียง
ผมยังไปไม่ถึงจุดกึ่งกลางของคำนั้น
…ยังไม่ถึงซักที
แม้ตระหนักว่าตนนั้นไม่ได้ไร้ซึ่งปัญญา
แต่ผมนั้นยังไม่เคยเพียงพอที่จะหาความรู้ต่างๆมาเพิ่มเติม
หลายคราตระหนักว่าตนนั้นประดุจผีเสื้อปีกอ่อนที่พึ่งมีโอกาสสยายปีกเปียกออกจากดักแด้
อยากโผบินแต่ปีกไร้เรี่ยวแรง
หลายคราคลับคล้ายว่าตนประดุจสวมใส่ปีกที่ช่วยให้โผบินได้
แต่เมื่อบินเข้าใกล้พระอาทิตย์มากเท่าไร
กลับพบว่าปีกนั้นล้วนสร้างมาจากเปลวเทียน
…ซึ่งไม่อาจต้านทานความร้อนแรงของดวงอาทิตย์ได้
แดกดันราวกับเทพนิยายกรีก
ผมประหนึ่งรับรู้ความรู้สึกของอิคารุสบุรุษผู้อยากโผบิน…
ขวบปีผ่านไป
สารพันโชคชะตาซาซัดประหนึ่งเคลื่อนทะเลที่โอบอุ้มผืนทรายหายไป
ทุกครั้งที่ซัดฝั่ง มันก็ดึงดูดชีวิตของผืนหาดให้หายไปทีละนิด
แต่มันก็เป็นกฏแห่งธรรมชาติที่คลื่นต้องทำหน้าที่ของมัน
ในปีต่อไป
ผมยังยืนยันที่จะเดินไปโดยไร้ซึ่งเพื่อนร่วมทางที่เรียกว่าโชคชะตา
ผมยังปิดกั้นที่จะเรียกมันว่าสหาย
เพราะชีวิตผมนั้น… มันเป็นเส้นทางที่ผมกำหนดเอง…